𝙎𝙬𝙞𝙩𝙯𝙚𝙧𝙡𝙖𝙣𝙙 ดินแดนในฝัน หนาวนี้กับประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก!!!
นี่คือหนึ่งในสถานที่ไม่กี่แห่งบนโลก ที่จะทำให้เรารู้สึกล่องลอยเหมือนอยู่ในสวรรค์ กับหนึ่งในประเทศในฝันของหลายคนอย่าง "Switzerland"
8 วัน 7 คืนในดินแดนหิมะช่วง winter ทิวเขาอลังการที่สุด สวยที่สุด จะมองไปทางไหน พูดได้คำเดียวว่า สวยจังเว้ย! มุมนี้ก็ดี มุมนั้นก็ดี ดีไปหมดทุกมุมจริง ๆ ตลอดวีคนี้ออมนัทจะพาเพื่อนๆตะลุยหิมะสีขาวโพลน นั่งรถไฟ นั่งกระเช้าขึ้นไปยังยอดเขาสุดยิ่งใหญ่อลังการ! ธรรมชาติสวยงามจนขนลุกชันแน่นอน! เที่ยวแบบออมนัทไปกันนะทั้งที รับรองว่า จะพาไปหามุมสวยๆถ่ายรูปจนเมมเต็มไม่รู้กี่รอบ ไปนอนที่พักสุดพีค เอาที่แบบเพื่อนร้องกริ๊ดอยากตามรอย บอกเลยว่ามันดีที่สุด พูดคำว่าสวยจนนับไม่ถ้วน พร้อมแล้ว..ค่อย ๆ อ่านรีวิวไปทีละรูป อินกับเราไปเรื่อย ๆ นะ สามารถลอกแพลนเที่ยวตามออมนัทได้เลยจ้า
สิ่งที่ต้องใช้ 1.ออมนัททำ Visa สวิส ใช้เวลา 1 อาทิตย์ได้ 2.Passport
3.Simcard สามารถซื้อ sim2fly หรือเปิดโรมมิ่งจากไทยได้เลย เน็ตเร็วถึงทุกที่
4.ซื้อบัตร Swiss Pass คุ้มสุด รวมถึงเรือ รถเมล์และกระเช้าฟรี จะมีกระเช้าบางที่ที่ต้องซื้อบัตรเพิ่ม แต่นำไปเป็นส่วนลดได้ จองกับ Klook กดตรงนี้ได้เลย
รายละเอียดแพลนทริปและค่าใช้จ่าย
ออมนัทแนะนำ 1.สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศสามารถเดินทางได้หลากหลาย สำหรับใครเที่ยวครั้งแรกแบบออมนัท แล้วยังไม่อยากขับรถ ก็เดินทางด้วยรถไฟได้เลย แนะนำให้ซื้อ Swiss Pass (ใช้ขึ้นรถไฟฟรีทั่วประเทศ รวมถึงเรือ รถเมล์และกระเช้าฟรี จะมีกระเช้าบางที่ที่ต้องซื้อบัตรเพิ่ม แต่นำไปเป็นส่วนลดได้อีก) ใครที่แพลนเที่ยวเรียบร้อยแล้ว จองล่วงหน้าเลยเด้อ และแน่นอนว่าจองกับ KLOOK คือดีที่สุดแล้ว เพราะสะดวกใช้งานง่ายไม่ยุ่งยาก ตั๋วนั้นจะมาในรูปแบบ QR Code ซึ่งเราสามารถใช้แสกนหรือโชว์ตอนขึ้นรถไฟหรือซื้อตั๋วขึ้นกระเช้า Cable Car ต่างๆ ได้เลย ซื้อบัตร Swiss Pass ที่ Klook คลิกเลย!
2.โหลด Application SBB Mobile เลย อยากไปที่ไหนแค่กดหา ในแอปจะแนะนำวิธีการเดินทาง ตารางเวลาอย่างละเอียด แอปเดียวจบเที่ยวได้ง่ายขึ้น 3.ประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลกอะเนอะ คุณภาพชีวิตดี ทุกอย่างย่อมดี แต่ก็มีค่าครองชีพสูงเช่นกัน ฉะนั้นอาหารแพงมาก ร้านฟาสฟู้ดยังเริ่ม meal ละ 600.- เลย 4.นอน Airbnb ได้ก็ควรนอนจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ เพราะเราสามารถทำอาหารกินเองได้ ไม่ต้องไปร้านอาหารทุกวัน
5.ร้านอาหารต่ำ ๆ เข้าไปนั่งทานมื้อนึงก็ประมาณ 2,000 ขึ้นไปเลย 6.ทริปนี้ออมนัทแทบไม่ได้ใช้เงินสดเลย พกบัตรรูดได้ทุกที่ สะดวกในการเสียเงินสุด ฮ่าๆ 7.ออมนัทไปเที่ยวช่วงเดือนธันวาคมค่ะ อากาศหนาวสูงสุดไม่เกิน 10 องศา 8.การไปช่วงฤดูหนาวต้องยอมรับก่อนว่าเราจะมีเวลาเที่ยวในช่วงกลางวันน้อย เพราะพระอาทิตย์ขึ้นช้า ประมาณ 09.00 น. และพระอาทิตย์ตกเร็ว ประมาณ 16:00 น. ต้องวางแพลนในการเที่ยวดี ๆ นะ บางทีใช้เวลานั่งรถไฟนาน อาจจะทำให้เที่ยวได้วันละ 1-2 ที่
9.เตรียม memory card และแบตเตอรี่ให้พร้อม เพราะประเทศนี้ หันไปทางไหนก็น่าถ่ายรูปไปหมด
Vlog เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ฤดูหนาว 7 วัน
มีให้ดูแบบ VDO Vlog ด้วยนะ ทั้งหมด 4 ตอนด้วยกัน ไปดูแบบคลิปจะได้เห็นภาพ บรรยากาศและรายละเอียดต่าง ๆ ด้วยค่ะ
EP 1/4 - เที่ยว Zurich - Luzern - Mt.Titlis
EP2/4 - กิน Cheese Fondue 🧀 ร้านอาหารที่วิวสวยที่สุดใน Zermatt
EP 3/4 - นอนโรงแรมน้ำแข็งในหุบเขาหิมะ -10 องศา Iglu-Dorf Zermatt
EP 4/4 - ใส่บิกินีตามฝัน..วันแต้มบุญหมด [Interlaken - Shcilthron]
ส่วนใครพร้อมแล้วอ่านรีวิวกันได้เลยค่า ลงรายละเอียดพร้อมมุมถ่ายรูปให้เพื่อน ๆ แบบจุก ๆ ไปเลย
DAY 1 : BKK > Zurich
ซูริค หนึ่งในอันดับต้น ๆ ของเมืองที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลก และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากบินลง Zurich แล้ว ถึงก็ค่ำเลยค่ะ เราเข้าที่พัก Check in ที่ Ruby Mimi Hotel Zurich (คืนละ 4,634THB) โรงแรมกลางเมือง เดินเที่ยวเล่น Old Town ได้ใกล้ ๆ เลยค่ะ เราจะเริ่มการเดินทางจากเมืองนี้กัน
จองโรงแรมในเมือง Zurich : Ruby Mimi Hotel - https://bit.ly/hotelzurich
Bahnhofstresse คือถนนย่านช็อปปิ้งกลางเมือง มีความยาวประมาณ 1.4 กิโลเมตร ศูนย์กลางแห่งเมืองซูริค มีร้านค้าให้ได้เลือกเสียเงินมากมายหลายร้าน ทั้งห้างสรรพสินค้า ร้านแบรนด์เนม ไม่ว่าจะเป็น Cartier, Gucci, Prada, Chanel, Dior, Burberry,Armani เป็นต้น ขนานนามว่าเป็นถนนที่แพงที่สุดในโลกเลย สายช็อปลุยได้เต็มที่ค่ะ ถ้าใครชอบถ่ายรูป ก็สามารถเดินเล่นถ่ายรูปได้ทั้งสายเลยค่ะ ช่วงกลางคืนเค้าก็มีประดับไฟสวยมาก
DAY 2 : Zurich > Luzern
หลังจากวันแรกมาถึง Zurich ในตอนกลางคืน เลยไม่ได้ออกไปที่ไหน เช้าวันที่สองมาเริ่มเที่ยวกันค่ะ ออกจากที่พักตอน 9 โมง ไปจุด Check in แรกคือ Lindenhof เป็นย่านเก่าเเก่ใจกลางเมืองซูริก ที่นี่มีสวนสาธารณะตั้งอยู่บนเนินเขา ชมวิวเมืองสวยๆริมแม่น้ำ Limma แถมที่นี่ยังเป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำซีรี่ย์เรื่อง Cash Landing On you อีกด้วยนะ
เดินต่อมาอีก 400 เมตร จะเจอกับสะพาน Munster Bridge สามารถถ่ายเห็นโบสถ์ Fraumunster Church ได้มุมพอดีค่ะ
ครึ่งเช้าพาไปจุดเช็คอินห้ามพลาดในเมืองซูริคเสร็จแล้ว ตอนเที่ยงออกจากเมืองซูริค นั่งรถไฟไปต่อกันที่เมือง Luzern ใช้ Swiss Pass ขึ้นฟรี (แค่แสดง QR Code อย่างเดียวค่ะ)
วิธีการเดินทาง - Zurich HB [EC317] (Milano Centrale) 1 ป้าย > Zug เดิน 40 ม. > Zug [IR75] 2 ป้าย > Luzern > เดินไปที่พัก Hotel Alpina Luzern 400 เมตร
Luzern
มาถึงเมือง Luzern เวลาบ่าย ๆ มาเดินเล่นชมเมืองชิว ๆ กันค่ะ ย่าน Old Town นี่คือสะพาน Chapel Bridge เป็นสะพานไม้แห่งประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก สะพานข้ามแม่น้ำรอยส์ เป็นสัญลักษณ์และประวัติศาสตร์ของเมืองลูเซิร์นเลยทีเดียว เมื่อก่อนสะพานนี้เคยถูกไฟไหม้เสียหายไป แต่ได้รับการซ่อมแซมใหม่จนกลับมาในสภาพดีเหมือนเดิมค่ะ
เดินเลียบตามแม่น้ำเข้ามาในย่าน Old town เรื่อย ๆ มีมุมนั่งชิวหลายมุมเลยค่ะ พระอาทิตย์กำลังตกดินพอดี ออมนัทก็ขอมานั่งทำทรงชิวกินขนมกรุบกริบริมแม่น้ำไปชมวิวเมืองไปสักหน่อย
DAY 3 : Luzern > Mount Titlis
เริ่มออกเดินทางจากเมือง Luzern กันตั้งแต่ 8 โมงเช้าค่ะ เพราะวันนี้เราต้องใช้เวลาเดินทางไป-กลับ กว่า 3 ชั่วโมง เพื่อไปยังหนึ่งในสี่ยอดเขาของสวิตเซอร์แลนด์ที่ห้ามพลาดอย่าง Mt.Titlis
hightlight ของการได้นั่งรถไฟเที่ยวคือเราจะได้นั่งชมวิวสองทางข้างอย่างเต็มอิ่ม ยิ่งถ้าจอง Swiss Pass แบบ First Class ที่นั่งจะดีกว่า นั่งสบาย ไม่ต้องเบียดและแย่งกับใคร มีที่วางของวางกระเป๋าตลอด **ใครไหว แนะนำซื้อแบบชั้นหนึ่งไปเลย แค่นั่งชมวิวข้างทางก็คือคุ้มแล้ว
แนะนำ
- Swiss Pass มี 2 ประเภท
First Class ที่นั่งชั้นหนึ่ง (มีตู้แยกให้ คนไม่เยอะ สบาย)
Second Class ที่นั่งชั้นสอง (คนจะเยอะหน่อย)
- เลือกได้ 2 แบบ
Consecutive แบบใช้ต่อเนื่อง
Flexible แบบยืดหยุ่นได้
- เลือกจำนวนวันได้
3 วัน / 4 วัน / 8 วัน / 15 วัน
- วิธีการใช้ แค่โชว์ QR Code ก็ใช้ได้เลยจ้า
นั่งชมวิวระหว่างจนลืมเวลา แป๊ปเดียวก็มาถึงสถานี Engelberg เดินออกมาจากรถไฟถึงกับอึ้ง คิดดูว่าพอได้มาสัมผัสหิมะในรอบ 2 ปี มันตื่นเต้น ดีใจ ยืนดูวิวเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะแบบนี้ มีความสุขสุด ๆ (นี่ขนาดยังไม่ได้เริ่มไปไหนเลยนะ ฮ่าๆ)
นี่คือเมือง Engelberg จากมุมสูงค่ะ เดี๋ยวเราจะนั่ง Cable Car ต่อขึ้นไปยังยอดเขา Titlis
ค่ากระเช้าขึ้น Mt Titlis = 1,739THB/คน (ก่อนซื้อโชว์ QR Code ของ Swiss Pass ด้วยนะ ใช้เป็นส่วนลดค่าขึ้นกระเช้าได้ 50%)
นั่ง Cable car ใช้เวลาประมาน 15-20 นาทีได้ค่ะ ระหว่างขึ้นวิวสวยมาก
Mount Titlis
มาถึงข้างบนสุดแล้ว ขึ้นลิฟท์มาที่ชั้น 5 เดินตามทางมาเรื่อยๆ ออกไปสัมผัสวิวบนเขาและหิมะกันค่ะ Mount Titlis เป็นยอดเขาที่สูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 3,000 เมตร ที่นี่มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี ล้อมรอบด้วยวิวเทือกเขาแอลป์ของ Swiss ค่ะ
และในภาพคือ Titlis Cliff Walk เป็นสะพานแขวนให้ได้เดินชมวิวข้ามเหวเขาแบบหวาดเสียวหน่อยๆ
ตอนที่ออมนัทไปคือด้านบนแดดแรงมากแต่ลมก็แรงมากเช่นกัน แนะนำให้ใส่เสื้อกันลมกันหนาวให้ดี ควรมีรองเท้ากันน้ำเข้าด้วยยิ่งดีค่ะ เพราะเราต้องเดินบนหิมะตลอดทริป ถ้าสิ่งปกคลุมร่างกายไม่ดีแล้วเที่ยวไม่สนุกแน่นอน
ช่วงเย็นกลับมาถึงเมือง Luzern แล้วค่ะ ออมนัทจะพาไปชมย่าน Old Town ในยามค่ำคืนกัน
ช่วงนี้ใกล้เทศกาลคริสมาสต์พอดี ทุกเมืองมีการตกแต่งประดับไฟแบบจัดเต็มมาก แสงสีของไฟประดับ บวกกับอากาศหนาว ๆ ยิ่งทำให้บรรยากาศดีที่สุดไปเลย
ในเมือง Luzern ก็มี Christmas Market ด้วยนะคะ คืนนี้น่าจะเป็นคืนเดียวที่ออมนัทจะได้เที่ยวโซนเมือง หลังจากนี้เราจะเริ่มไต่เขาไปเที่ยวแบบธรรมชาติจัดเต็มกันต่อแล้วค่ะ
DAY 4 : Zermatt
ออกเดินทางจากเมือง Luzern นั่งรถไฟไปต่อกันที่เมือง Zermatt วิวระหว่างทางคือสวยแบบไม่ซ้ำทุกครั้งที่ได้นั่งรถไฟ ตื่นตาตื่นใจไปตลอดทาง ไม่เคยได้หลับสักทีเลยค่ะ
วิธีการเดินทาง Luzern IR15 (Geneve-Aeroport) นั่ง 3 ป้าย > Bern IC8 (Brig) 3 ป้าย > Visp R Zermatt > เข้าที่พัก Hotel Antika (3.15 hrs)
ถึงแล้ววว! Zermatt และวิวเขา Matterhorn เป็น Dream Destination อันดับต้นๆของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ในที่สุดวันนี้ก็พาตัวเองมาถึงสักที
Zermatt เป็นเมืองที่ปราศจากมลพิษค่ะ เพราะมีกฏห้ามนำเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันมาใช้ พาหนะที่ใช้ภายในเมืองจึงเป็นพาหนะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งหมด และบ้านเรือนยังคงความเก่าแก่ดั้งเดิมในแบบสวิตเซอร์แลนด์ น่าอยู่มากที่สุดเลย
จองโรงแรมในเมือง Zermatt : Hotel Antika - https://bit.ly/antikazermatt
Check in : ที่โรงแรม Hotel Antika 8,439.-/คืน
หลังจากที่เก็บของเข้าที่พักกันแล้ว เรายังพอมีเวลาในช่วงบ่ายอีก 3 ชั่วโมงก่อนพระอาทิตย์จะตกในตอน 17:00 น.
ก่อนมาสวิตออมนัทไปเห็นภาพร้านอาหารที่หนึ่งในไอจี ที่นั่งกินชีสฟองดูไปชมวิวเขา Matterhorn ไป เมื่อใจอยากแล้ว อะไรก็ฉุดไม่อยู่ เราเริ่มที่ขึ้นรถไฟไต่เขา ไปลงที่สถานี Sunnegga พออกมาจากสถานีให้เลี้ยวขวา เดินออกมาอาจจะงงว่ามีทางเดินต่อด้วยหรอ เพราะทั้งหมดจะเป็นทางเล่นสกีค่ะ ไม่ต้องห่วงนะ เปิดแมพเดินลัดเลาะเขามาเลย มีเส้น Trekking ทางลงเขามาเรื่อย ๆ ค่ะ ประมาณ 1.2 km (ตอนเดินระวังหน่อยนะมีทางลื่นบ้าง) ระหว่างทางเดินก็ชมวิวเขา Matterhorn แบบเต็ม ๆ ตากันไปเลย
และแล้วก็มาถึงร้านอาหารอันเลื่องชื่อ นี่คือ Chez Vrony ร้านอาหารที่มองเห็นยอดเขา Matterhorn แบบเต็มตา จุดเด่นเลยคือวิวสุดปังและอาหารอร่อยมากค่ะ บรรยากาศร้านเต็มสิบ! ออมนัทแนะนำมาช่วงเช้าก็อาจจะไม่ร้อนมากค่ะ เพราะตอนบ่ายแสงจะสาดเข้าหน้า แต่รับรองว่าพอเอาตัวมานั่งตรงนี้แล้วจะเจออะไรก็ไม่หวั่น เพราะวิวตรงหน้ามันสวยสุด ๆ
#แนะนำ ใครจะมาที่นี่ เตรียมรองเท้าเดินบนหิมะให้ดี ระหว่างทางมีลื่นบ้าง เดินอย่างระมัดระวังนะ กระเช้ากลับรอบสุดท้ายมีถึง 16:00 น. พอพระอาทิตย์เริ่มตก อากาศหนาวขึ้นเท่าตัวเลย เตรียมชุดมาดี ๆ แต่มาถึงร้านแล้วมีผ้าห่มไว้ให้เราด้วย ดีมาก ๆ และในตอนที่ออมนัทไปอยู่ในช่วงเปิดให้เที่ยวหลังโควิด นักท่องเที่ยวยังไม่เยอะมาก เดินมาถึงร้านเลยมีที่นั่งแถวหน้าสุดพอดี ในช่วงนี้อาจจะต้องมีการจองหรือลองทักไปติดต่อสอบถามโดยตรงกับที่ร้านดูนะคะ
มาถึง Switzerland ต้องสั่งเมนู Cheese Fondue กันก่อนเลยจ่ะ ทำฟิลนั่งกินชีสฟองดองกับวิวเขาก่อนสักหนึ่งแมชท์ ปังจริงไม่หลอกเลย อาหารที่นี่อร่อยใช้ได้เลยนะ สปาเก็ตตี้เอย พาสต้าเอย พิซซ่าเอย มีหลายเมนูมาก **ราคาก็ตามวิว แพงตามความสวยงามของวิวไปเลยค่ะ ออมนัทไปกัน 4 คน สั่งอาหาร 4 อย่าง (อาหารประมาณจานละ 25CHF) ช็อกโกแลตร้อน 1 กับไวน์ 2 ขวด (แพงตรงไวน์ในร้านอาหารด้วยแหละ 555) ทั้งหมด 200CHF 7,000 กว่าบาทไทยจ้า!!!
นั่งกลับเข้าเมือง Zermatt พระอาทิตย์กำลังจะตก ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีส้มอมชมพู ไฟในเมืองเริ่มเปิด บรรยากาศเหมือนฝันจริง ๆ
วิวที่พักของเราหันหน้าไปทาง Matterhorn พอดี เลยรีบบินโดรนถ่ายเก็บแสงสุดท้ายก่อนหมดวันมาฝากทุกคนกันค่ะ
DAY 5 : Iglu Drof Zermatt
มาถึงวันที่รอคอย เพราะออมนัทได้จองโรมแรมที่ราคาแพงที่สุดในทริปไว้ค่ะ ลุ้นมากจริง ๆ ว่าอยากให้ฟ้าเปิด จะได้เห็นวิว Matterhorn จากห้องพัก (ถ้าฟ้าไม่เปิดนี่แย่เลย เพราะเค้าบอกกันมาว่า Matterhorn นี่ขี้อายพอ ๆ กับฟูจิซังที่ประเทศญี่ปุ่นเลยค่ะ) ซึ่งทริปนี้เราพกแต้มบุญสูงมากกกกกก ตลอด 3 วันที่อยู่เมือว Zermatt นี้ ฟ้าเปิดทุกวันเลย
การเดินทางไปที่พัก เราจะต้องขึ้นรถไฟจากสถานที่ Zermatt สาย Gronergrat Bahn the Matterhorn Railway สถานีอยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟ Zermatt [ Zermatt GGB 4 ป้าย > ลงสถานี Rotenboden ค่ะ] **ตอนขึ้นให้นั่งทางฝั่งขวาของขบวนน้า จะได้ชมวิวสวย ๆ ตลอดเส้นทางค่ะ
Iglu-Drof Zermatt หนึ่งในที่พักในฝันของออมนัทบนโลกใบนี้ที่มาอยากสัมผัสด้วยตัวเองค่ะ เป็นที่พักที่หารีวิวในไทยยากมาก ออมนัทเลยอยากมาให้เห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง เป็นโรงแรมที่เน้น Experience ให้กับผู้เข้าพัก เราจะได้ลองใช้ชีวิตในบ้านน้ำแข็งกลางหุบเขาหิมะ 1 ปีเปิดแค่ 3 เดือน ตั้งแต่ ธันวาคม-กุมภาพันธ์ มีเพียง 9 ห้องเท่านั้น ได้สัมผัสความอลังการของเขาหิมะ ได้นอนดูยอดเขา Matterhorn 24 ชั่วโมงแบบใกล้ที่สุด แช่อ่างจากุซซี่ร้อนๆท่ามกลางอากาศหนาวติดลบ ฟินสุด ๆ
อ่านรีวิวเต็มที่พัก Iglu-Drof Zermatt > https://www.paigunna.com/post/igludorfzermatt
ออมนัทนอนห้อง Igloo Suite คืนละ 987CHF
-มีอ่างน้ำร้อนส่วนตัวให้แช่
-มีห้องน้ำส่วนตัว / ห้องซาวน่าส่วนตัว
-มีแชมเปญให้
-มีปลั๊ก
-มื้อเย็นมีเซท Cheese Fondue ให้
-Welcome Drink ไวน์อุ่น ชื่นใจ
-นอนถุงนอนนะจ๊ะบอกไว้ก่อน แต่นุ่มนะไม่แย่เลย (แต่ถึงนอนเค้าเคลมว่าอยู่ได้ถึง -40 องศา)
กลางคืนเห็นดาวล้านดวงสว่างไสวพร้อมกับพระจันทร์เต็มดวง จินตนาการเหมือนหลุดไปอีกโลกที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน สวยจนออมนัทบรรยายความรู้สึกไม่ถูกเลย
DAY 6 : Zermatt > Adelboden
08:00 ได้เวลา Check out ออกจากที่พักกันแล้วค่ะ เช้านี้ก็ไม่ลืมถ่ายรูปคู่กับ Matterhorn ตอนพระอาทิตย์ขึ้นกันอีกสักรูป เพราะช่วงนี้แสงของพระอาทิตย์จะส่องมาที่ยอดเขาจนเป็นสีทอง อีกหนึ่งความพีคที่ใครมาถึงแล้วอย่าลืมเก็บภาพนี้ไว้ในความทรงจำด้วยนะ พระจันทร์เต็มดวงยังอยู่ด้วย สวยมากเหมือนภาพในฝันเลย
วันนี้เราจะย้ายที่พัก เปลี่ยนบรรยากาศไปนอนกันที่ The Cambrian Adelboden โรงแรม Welness ที่อยู่ในเมือง Adelboden ค่ะ บริเวณรอบๆเป็นสกีรีสอร์ตทั้งหมด วิวเทือกเขากว้างสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว
วิธีการเดินทาง Zermatt R (Visp) 7 ป้าย > Visp IC6 (Basel SBB) 1 ป้าย > Spiez RE > Frutigen 230 > Adelboden [2.52 Hrs]
ที่พัก : The Cambrian Hotel ราคา 10,906.-/คืน
Highlight ของที่นี่ ก็คือห้องซาวน่าห้องอบไอน้ำรวมถึงสระว่ายน้ำอุ่นกลางแจ้งวิวเขาแบบนี้เลย
มอบเวลาทั้งหมดของวันนี้ไปกับวิวสวย ๆ และความสบาย พักผ่อนชิว ๆ ในโรงแรมนี้เลย ออมนัทแนะนำว่าควรนอนที่นี่สัก 2 คืนขึ้นไป จะได้มีเวลาเดินเล่นชมเมืองท่ามกลางหุบเขา ออมนัทวางแพลนพลาดไปหน่อยเลยแอบเหนื่อยเพราะกว่าจะนั่งรถไปมาถึงก็เย็นแล้วต้องออกจากโรงแรมตอนเช้าอีก ไว้มีโอกาสจะกลับมาใหม่
DAY 7 : The Cambrian Adelboden > Interlaken
บรรยากาศยามเช้าจากที่พักค่ะ วันนี้เราจะเดินทางไปกันต่อที่เมือง Interlaken
ระหว่างนั่งไปเมือง Interlaken ก็ยังได้ชมวิวสองข้างทางสวย ๆ แบบนี้ด้วยนะ แนะนำนั่งฝั่งซ้ายน้า
2 คืนที่เมือง Interlaken เรานอนแบบ Airbnb 2 Bedrooms - City Center Apartment ราคา 10,483.-/2 คืน
Interlaken เป็นเมืองที่อยู่ระหว่างทะเลสาบทูน (Thun) และทะเลสาบเบรียนซ์ (Brienz) ล้อมรอบไปด้วยยอดเขาสามเกลอ อย่างเทือกเขา Eiger, Monch และ Jungfrau เป็นเมืองที่เดินทางสะดวกสบายมากค่ะ ทั้งขึ้นรถไฟ ล่องเรือ นั่งกระเช้า ใครไม่อยากเปลี่ยนที่พักบ่อยออมนัทแนะนำให้นอนที่เมืองนี้ได้เลย เพราะสามารถเดินทางเที่ยวเมืองอื่น ๆ ในสวิตได้สะดวกมากที่สุด
ช่วงเย็นเรานั่งรถเมล์ไปยังสถานี Harbor Iseltwald เป็นจุดถ่ายรูปกับสะพานไม้ยื่นออกไปแบบนี้ ตามรอยซีรี่ย์ Cash Landing on you อีกสักมุมค่ะ
**อัพเดตตอนนี้ ใครจะมาตามรอยสหายผู้กอง ถ่ายรูปกับสะพานนี้ ต้องเสียค่าเข้า 5 CHF ต่อคนแล้วค่ะ
DAY 8 : Lauterbrunne > Murren > Schilthorn
Lauterbrunne เป็นอีกหนึ่งหมู่บ้านกลางหุบเขาที่มีวิวสวยและมีน้ำตก Staubbach ไหลลงมาจากหน้าผาสูงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้านนี้เลยค่ะ สามารถเดินเล่นชมเมืองได้ตามสบายเลย เลาเทอร์บรุนเนิน เป็นหมู่บ้านที่เงียบสงบ ไม่วุ่นวาย แถมยังเป็นทางผ่านไปยังจุดท่องเที่ยวและลานสกีต่าง ๆ ในเทือกเขาแอลป์อีกด้วย
เนื่องจากที่นี่เต็มไปด้วยน้ำตกกว่า 72 แห่ง จึงเป็นที่มาของหมู่บ้านชื่อ Lauterbrunnen แปลว่า "many fountains" นั่นเอง วันที่ออมไปนัทไม่มีแดดค่ะ น้ำเย็นจัดจนกลายเป็นน้ำแข็งไม่ได้เห็นภาพน้ำตกไหลลงมาจากหน้าผาเลย
แต่ไม่เป็นไรออมนัทจะพาไปถ่ายรูปมุมสุดปังเมื่อมาถึง Lauterbrunnen ปักหมุดว่า Chalet Pironnet ได้เลยค่ะ ก็จะเห็นเป็นทางเดิน ฉากหลังคือโบสถ์กลางหมู่บ้านและน้ำตก Staubbach ออมนัทตั้งใจมากอยากจะถ่ายรูปใส่ชุดบิกินีท่ามกลางหิมะสักครั้งในชีวิต ก็รัวชัตเตอร์กันสนุกสนานทีเดียว
นั่งรถเมลล์สายเดียวในหมู่บ้านต่อไปยัง Cable Car เพื่อขึ้นไปยังสถานี Schiltorn กันค่ะ
ค่ากระเช้าขึ้นไป Schilton ราคา 1,611.-/คน (ใช้ Swiss Pass เป็นส่วนลดค่ากระเช้าได้ 50%)
ถ้าเรามองขึ้นมาจากหมู่บ้าน Lauterbrunnen แล้ว ด้านบนหน้าผา คือหมู่บ้านเล็กแต่วิวอลังการมากนั่นก็คือ Murren นั่นเองค่ะ
อยากมีเวลามากกว่านี้ สัญญากับตัวเองเลยจะกลับมาอีกแน่นอน จะมานอนที่นี่สักสองคืนเพราะหมู่บ้านสวยจริง ๆ
มาถึง Schilthorn เรียบร้อยแล้วค่ะ ยอดเขา Schilthorn ระดับความสูง 2,970 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ตั้งอยู่เหนือหมู่บ้าน Mürren และ Lauterbrunnen ที่เราผ่านมา มีจุดชมวิวหิมะแบบ 360 องศา แบบรอบทิศทาง ที่สามารถมองเห็นยอดเขาจุงเฟราอีกด้วย
แต่!! ออมนัทน่าจะใช้แต้มบุญหมดไปกับยอดเขา Matterhorn ไปแล้ว วันนี้ฟ้าเลยปิดไม่เห็นอะไรเลยค่า แถมอากาศหนาวและลมแรงแบบขั้นสุด!
ไม่เป็นไรเข้ามาในสถานี ยังมีห้องอาหาร Piz gloria 360 restaurant เมื่อเข้ามาแล้วจะได้ฟิล จากหนังเรื่อง James bond 007 เลย เพราะที่นี่ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำนั่นเอง มาปลอบใจนั่งชิลจิบกาแฟในห้องอาหารหมุนได้ไปก่อน
**ที่นี่เป็นห้องอาหารที่หมุนได้ค่ะ ระหว่างที่เรานั่งทานข้าว โต๊ะริมหน้าต่างก็จะหมุนไปช้าๆ ชมวิวแบบ 360 องศาโดยไม่ต้องลุกไปไหนเลย
สวิตเซอร์แลนด์ครั้งแรกในชีวิต 8 วันเต็มยังไม่พอจริงๆ ประเทศในฝันของหลายคน ช่างสวยสมคำล่ำลือ ธรรมชาติวิวเขาแบบอลังการ เที่ยวได้หลายฤดูใครไม่ชชอบหนาวก็มาหน้าร้อนจะได้ชมเขาสีเขียวกับดอกไม้สวย ๆ ส่วนใครอยากได้ฟิล winter wonderland ก็มาแบบออมนัทได้เลย
ขอบคุณแต้มบุญนำพา ทำให้สิ่งที่ตั้งใจไว้อยากจะเห็นยอดเขา Matterhorn แบบใสกริ๊งได้ตลอดทุกเวลา ทั้งตอนพระอาทิตย์ยอดเป็นสีทอง, ตอนกลางวันหิมะสีขาวตัดกับสีฟ้าสดใสของท้องฟ้า หรือแม้ตอนกลางคืนที่ยังมีพระจันทร์เต็มดวงส่องไปเห็นเขาแบบชัดเจนพร้อมกับดาวล้านดวงแบบไม่โมเม เป็น 8 วันที่โคตรมีความสุขเลย(ถึงแม้จะจ่ายหนักก็ตาม ฮ่าๆ) ได้มาเห็นความสวยงามที่สักครั้งในชีวิตต้องมาสัมผัส! สัญญากับตัวเองว่าจะตั้งใจทำงานเก็บเงินแล้วจะกลับมาซ้ำอีกแน่นอน
Comments